มอยส์เจอไรเซอร์ที่ดีคือลดการสูญเสียน้ำของผิวหนังที่สามารถเก็บกักน้ำให้ผิวคงความชุ่มชื้นของเนื้อสัมผัส มอยส์เจอไรเซอร์ส่วนใหญ่จะเป็นครีม โลชั่น ขี้ผึ้ง หรือ บาล์ม ที่ช่วยกักเก็บ ความชุ่มชื้นของผิวไม่ให้สูญเสียน้ำในชั้นผิวไป ทำให้ผิวยังคงความชุ่มชื้นสดใส
มอยส์เจอไรเซอร์ควรใช้ในขั้นตอนไหน ?
มอยส์เจอไรเซอร์ ควรใช้ในขั้นตอนหลังจากทำความสะอาดผิวหน้าจนเกลี้ยงแล้วลงนำ้ตบหรือเอสเซ้นต์ ตามด้วยเซรั่มแล้วใช้ มอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อเก็บสารบำรุงต่างไว้และช่วยคงความชุ่มฃื้นให้ผิวหนัง
มอยส์เจอไรเซอร์มีประโยชน์อย่างไร?
- ป้องกันความแห้งของสภาพแวดล้อมที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด จากความร้อนในอาคารหรือความเย็นจากอากาศที่สามารถดูดความชื้นจากผิวได้ มอยส์เจอไรเซอร์ที่ดีสามารถทดแทนและป้องกันความชุ่มชื้นที่จะสูญเสียไปได้
- ให้ผิวดูอ่อนเยาว์เพราะคุณสมบัติของมอยเจอไรเซอร์ สามารถกักเก็บน้ำและความชื้นในผิวไว้ ทำให้ผิวมี เต่งตรึง ไม่เกิดรอยเหี่ยวย่นหรือปัญหาผิวต่างๆ
- ป้องกันการเกิดสิวเมื่อ ผิวของคุณแห้งมันจะส่งสัญญาณไปยังต่อมใต้ผิวเพื่อผลิตน้ำมันขึ้นทดแทนหากผลิตมากเกินไปจะมีการอุดตันทำให้เกิดสิว แต่ถ้าคุณใช้มอยเจอไรเซอร์เป็นประจำผิวของคุณจะมีความชุ่มชื้นผิวจะไม่ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปทำให้เกิดสิว
- ช่วยปลอบประโลมผิว หากคุณมีผิวแพ้ง่าย มีผื่นแดง ระคายเคือง แห้งและคันหรือไม่? หากคุณมีปัญหาเหล่านี้ ควรต้องรีบดูแล ทางที่ดีควรใช้มอยเจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมช่วยผ่อนคลาย เช่น ว่านหางจระเข้ ดอกคาโมมาย ข้าวโอ๊ด และน้ำผึ้ง เป็นต้น
มอยส์เจอไรเซอร์มีกี่ประเภท?
โดยหลักๆแล้วแบ่งมอยส์เจอไรเซอร์ด้วย3ประเภทคือ
1.มอยส์เจอไรเซอร์ประเภทกักเก็บความชุ่มชื้น (Occlusives)
มอยส์เจอไรเซอร์ประเภทนี้จะทำงานโดยสร้างชั้นฟิล์มบางๆ บนผิวหนัง เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำออกจากผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก หรืออาศัยอยู่ในสภาพอากาศหนาวเย็น ตัวอย่างของ Occlusives ได้แก่ Petrolatum, Lanolin, Dimethicone
(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูว่ามีแบบไหนบ้าง)
2.มอยส์เจอไรเซอร์ประเภทดูดซับความชุ่มชื้น (Humectants)
มอยส์เจอไรเซอร์ประเภทนี้จะดึงดูดความชื้นจากอากาศเข้าสู่ผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง หรืออาศัยอยู่ในสภาพอากาศแห้งแล้ง ตัวอย่างของ Humectants ได้แก่ Glycerin, Hyaluronic Acid, Aloe Vera
(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูว่ามีแบบไหนบ้าง)
3.มอยส์เจอไรเซอร์ประเภทน้ำมัน (Oil-based)
มอยส์เจอไรเซอร์ประเภทนี้จะเติมน้ำมันธรรมชาติให้กับผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก หรือผิวแพ้ง่าย ตัวอย่างของ Oil-based moisturizers ได้แก่ Jojoba Oil, Coconut Oil, Olive Oil
(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูว่ามีแบบไหนบ้าง)
นอกจากนี้ มอยส์เจอไรเซอร์ยังสามารถแบ่งออกได้ตามรูปแบบเนื้อสัมผัส ดังนี้โลชั่น: เนื้อบางเบา ซึมง่าย เหมาะสำหรับผิวมันหรือผิวผสม(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูโลชั่นมีแบบไหนบ้าง)
ครีม: เนื้อเข้มข้น เหมาะสำหรับผิวแห้ง(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูครีมมีแบบไหนบ้าง)
เจล: เนื้อบางเบา ซึมง่าย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูเจลมีแบบไหนบ้าง)
เซรั่ม: เนื้อเข้มข้น อุดมไปด้วยสารบำรุง เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว(คลิ๊กที่รูปเพื่อดูเซรั่มมีแบบไหนบ้าง)
รีวิว มอยส์เจอไรเซอร์ 5 แบรนด์ดัง ที่สาวๆ ต้องลอง!
สวัสดีค่ะสาวๆ วันนี้เราจะมาเปิดกรุ มอยส์เจอไรเซอร์ 5 แบรนด์ดัง ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี ว่าแต่ตัวไหนจะถูกใจคุณที่สุด ไปดูรีวิวกันเลยค่ะ!
ข้อควรจำ: ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัจจัยอื่นๆ ควรทดลองใช้กับผิวเล็กน้อยก่อนใช้ทั่วใบหน้า
1. CeraVe Moisturizing Cream
จุดเด่น: เนื้อครีมเข้มข้น เหมาะกับผิวแห้งมากถึงผิวแห้งสุดๆ อุดมไปด้วยเซราไมด์ 3 ชนิด ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว ปราศจากน้ำหอมและสี
รีวิว: ตัวนี้เหมาะกับคนที่ผิวแห้งมากจริงๆ ค่ะ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีมาก เนื้อครีมอาจจะหนาไปนิดสำหรับผิวมัน แต่ถ้าทาตอนกลางคืนคือดีมาก ตื่นเช้ามาผิวเนียนนุ่ม
2. Hada Labo Gokujyun Hyaluronic Acid Moisturizing Lotion จุดเด่น: เนื้อโลชั่นบางเบา ซึมเร็ว เหมาะกับผิวธรรมดาถึงผิวมัน มีไฮยาลูรอนิค แอซิด 3 ชนิด ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
รีวิว: ตัวนี้เป็นโลชั่นที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี เนื้อบางเบา ซึมเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เหมาะกับใช้เป็นประจำทุกวัน ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำ
3. La Roche-Posay Cicaplast Baume B5 จุดเด่น: เนื้อครีมเข้มข้น บำรุงผิวที่แห้งกร้าน ช่วยลดรอยแดงและระคายเคือง เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
รีวิว: ตัวนี้เป็นครีมบำรุงผิวที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้ดีมาก เนื้อครีมเข้มข้นแต่ไม่หนักผิว ช่วยลดรอยแดงจากสิวได้ด้วย
4. Eucerin Aquaphor Healing Ointment จุดเด่น: เนื้อครีมเข้มข้นมาก เหมาะสำหรับผิวแห้งมากและผิวที่มีปัญหา เช่น ผิวหนังอักเสบ ผิวแตก
รีวิว: ตัวนี้เหมาะกับคนที่ผิวแห้งมาก หรือมีผิวหนังอักเสบ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีเยี่ยม แต่เนื้อครีมอาจจะหนาไปสำหรับใช้เป็นประจำทุกวัน
5. Innisfree Green Tea Seed Serum จุดเด่น: เนื้อเซรั่มบางเบา ซึมเร็ว อุดมไปด้วยสารสกัดจากชาเขียว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอ่อนเยาว์
รีวิว: ตัวนี้เป็นเซรั่มที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและกระจ่างใสขึ้น เนื้อเซรั่มบางเบา ซึมเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เหมาะกับทุกสภาพผิว
สรุป: การเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละคน ลองพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น เนื้อสัมผัส, ส่วนผสม และปัญหาผิวที่ต้องการแก้ไข เพื่อเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับคุณที่สุด
คำแนะนำเพิ่มเติม:
ผิวแห้ง: เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเนื้อครีมเข้มข้น อุดมไปด้วยเซราไมด์ หรือไขมันธรรมชาติ
ผิวมัน: เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเนื้อโลชั่นบางเบา ไม่ก่อให้เกิดสิว
ผิวแพ้ง่าย: เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่ปราศจากน้ำหอม สารกันเสีย และผ่านการทดสอบทางผิวหนัง
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ในการเลือกซื้อมอยส์เจอไรเซอร์นะคะ อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ และคอมเมนต์บอกกันด้วยว่าคุณชอบมอยส์เจอไรเซอร์ตัวไหนมากที่สุดค่ะ!
#รีวิวบิวตี้ #มอยส์เจอไรเซอร์ #ผิวสวย #สกินแคร์ การเลือกซื้อมอยส์เจอไรเซอร์อย่างไรดี?
- เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น คนผิวมันควรใช้แบบ oil free มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อไม่ให้หน้ามันยิ่งขึ้น คนผิวแห้งควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ที่สามารถกักเก็บน้ำรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวได้
- เลือกที่เนื้อสัมผัสของครีม
ถ้าคุณมีผิวธรรมดา ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เนื้อบางเบาและไม่เหนียวเหนอะหนะ
ถ้าคุณมีผิวแห้ง ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความข้น เช่น ครีม หรือ สูตรน้ำมัน ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื่นให้ผิว - พิจารณาจากกลิ่นที่ผสมในมอยเจอไรเซอร์ เพราะจะมีสารแต่งกลิ่นหรือน้ำหอมลงไปในมอยเจอไรเซอร์ซึ่งบางคนอาจมีอาการแฟ้สารแต่งกลิ่นหรือน้ำหอมได้
- ดูส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะกับคุณ
-มีส่วนผสม ไฮยาลูโรนิก และ ไดเมทิโคน ที่ให้ความชุ่มชื่นกับผิว
-มีส่วนผสม กลีเซอลีน ยูเรีย โปรตีน และ โพรพิลีนไกลคอล สารที่ช่วยดึงดูดน้ำเข้าสู่ผิว
-มีส่วนผสม น้ำมันมิเนรัล ลาโนลิน และ น้ำมันปิโตเลี่ยมที่ช่วยกักเก็บความชื้น
- รักษาผิวแห้งด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติไม่อุดตันรูขุมขน เช่น น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ อาโวคาโด
น้ำมันมะพร้าว
หลักการเลือกซื้อ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ที่ใช้เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของร่างกายมาลองดูตัวอย่างมอยส์เจอไรเซอร์ยอดฮิต